119 จำนวนผู้เข้าชม |
โทษของการฟ้องเท็จ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 175
การฟ้องเท็จเป็นปัญหาสำคัญในระบบยุติธรรมของประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 การฟ้องเท็จหมายถึงการกล่าวหาในศาลโดยเจตนาทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายจากการถูกดำเนินคดีอาญาโดยไม่เป็นความจริง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมและมีโทษตามกฎหมาย
การฟ้องเท็จ หมายถึงการที่บุคคลใดกระทำการให้การกล่าวหาในศาล โดยที่ข้อมูลที่ให้ไว้นั้นไม่เป็นความจริง มีการตั้งใจบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย ซึ่งในกรณีนี้กฎหมายมีความชัดเจนในการกำหนดโทษสำหรับผู้ที่กระทำการเช่นนี้ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ชอบธรรม การฟ้องเท็จอาจเกิดจากแรงจูงใจหลายประการ เช่น ความต้องการแก้แค้น ความปรารถนาที่จะสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น หรือการพยายามปกปิดความผิดของตนเอง การกระทำดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหา แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบยุติธรรมทั้งระบบอีกด้วย โดยจะมีความผิดเฉพาะการฟ้องในคดีอาญาเท่านั้น ส่วนคดีแพ่งนั้นแม้จะเป็นการฟ้องเท็จก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 "ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท"
กฎหมายนี้ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่อาจถูกกลั่นแกล้งหรือได้รับผลกระทบจากการถูกฟ้องเท็จ การฟ้องเท็จจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างร้ายแรง และเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม
มาตรา 175 มีความสำคัญในการป้องกันการใช้กระบวนการยุติธรรมในการกระทำที่ไม่เป็นธรรม การฟ้องเท็จสามารถนำไปสู่ผลกระทบทั้งทางสังคมและทางจิตใจต่อผู้ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการเสียชื่อเสียง การเสียโอกาสในการทำงาน หรือแม้กระทั่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหา การที่กฎหมายกำหนดโทษสำหรับการฟ้องเท็จจึงเป็นการป้องปรามการกระทำที่ผิดและส่งเสริมความยุติธรรม การที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องผ่านกระบวนการพิจารณาคดีและต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก การฟ้องเท็จอาจทำให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องสูญเสียทรัพยากรในการปกป้องตนเอง และต้องเผชิญกับสภาวะความกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและอาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลเรื้อรัง รวมไปถึงยังทำให้บุคคลนั้นสูญเสียความเชื่อมั่นจากคนรอบข้าง ถูกมองในแง่ลบ และต้องเผชิญกับความเครียดอย่างรุนแรง ผู้ที่ถูกฟ้องเท็จอาจประสบปัญหาในการประกอบอาชีพ เนื่องจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดจะทำให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในสังคมเสียหาย
การป้องกันการฟ้องเท็จจำเป็นต้องเริ่มจากการเรียนรู้และเข้าใจในกฎหมายและรู้ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากกระทำการดังกล่าว นอกจากนี้ การตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างรอบคอบก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการป้องกันการฟ้องเท็จ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับความเป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2530
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 นั้น นอกจากจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำผิดอาญาแล้ว ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ด้วย เมื่อปรากฏว่าเหตุผลที่จำเลยกล่าวอ้างในคำฟ้องในคดีอาญาที่จำเลยฟ้องโจทก์มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สนับสนุนและเครื่องหมายการค้าที่จำเลยใช้แตกต่างจากเครื่องหมายการค้าที่จำเลยจดทะเบียนไว้เพียงเล็กน้อย แม้จำเลยจะอ้างว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยประทับลงบนผ้าในผ้าและในฉลาก เป็นเครื่องหมายการค้าที่จำเลยจดทะเบียนไว้ ก็ยังไม่พอฟังว่า จำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175
สรุป การฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ถือเป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมและส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคล การที่กฎหมายมีมาตรานี้ไว้จึงเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการใช้กฎหมายไปในทางที่ผิด และช่วยส่งเสริมระบบยุติธรรมที่เป็นธรรมและเที่ยงตรง ผู้ที่คิดจะฟ้องเท็จควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นและโทษที่ต้องเผชิญ การสร้างความเข้าใจในสังคมเกี่ยวกับผลกระทบของการฟ้องเท็จและการส่งเสริมการใช้งานกระบวนการยุติธรรมอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหานี้ การที่ผู้คนมีความรู้และตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน
ทนายนิธิพล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ
แฟนเพจ FB : ทนายนิธิพล ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
โทร : 095-453-4145 เวลาติดต่อจันทร์-เสาร์ 10.00น – 18.00น